Charles Babbage
บิดาแห่งคอมพิวเตอร์
คงจะเป็นการดีที่จะกล่าวถึงที่มาหรือต้นตระกูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ว่าเป็นมาอย่างไร
เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจคอมพิวเตอร์มากขึ้น
คอมพิวเตอร์มีวิวัฒนาการมาจากนิ้วมือมนุษย์ ที่ใช้นิ้วในการนับตัวเลข
ใช้ไม้ขีดเขียนบนพื้นดิน หรือใช้ลูกหินมาเรียงต่อกัน
ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นด้วยการใช้เชือกรอยต่อกัน
จัดเรียงให้เป็นระบบ (คล้ายกับลูกคิด) หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ
ขึ้นมาเพื่อใช้ในการนับ ลักษณะใหญ่ที่คิดกันมักจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีกลไก (Mechanics) ที่ประกอบด้วยฟันเฟื่อง รอกและคาน
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่กึ่งอัตโนมัติ ที่สามารถคำนวณขั้นพื้นฐานได้ ไม่ว่าจะเป็น
บวก ลบ คูณ หาร
ปี 1822 ชาลส์ แบบเบจ (Charles
Babbage) ได้ทำการออกแบบเครื่อง Difference Engine โดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เครื่อง Difference Engine นี้สร้างไม่เสร็จ
เพราะแบบเบจได้ค้นพบความไม่น่าเชื่อถือบางประการในการคำนวณ จึงล้มเลิก
และไปคิดเครื่องใหม่ที่ชื่อว่า Analytical
Engine ซึ่งประกอบด้วยหน่วยความจำ
(Memory Unit) ที่สามารถจัดเก็บตัวเลขและนำไปคำนวณได้
ยิ่งไปกว่านั้น
เครื่องดังกล่าวยังสามารถพิมพ์ข้อมูลได้อัตโนมัติ
สามารถนำเข้าข้อมูลด้วยบัตรเจาะรู (Punched Cards) และใช้ชุดคำสั่งในการควบคุม เครื่อง Analytical Engine นี้ยังมีฟังก์ชั่นหน้าที่หลายอย่างเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน
ทำให้ ชาลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ถูกขนานนามให้เป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ เป็นต้นมา
Ada Lovelace
เอดา ไบรอน
เลิฟเลซ (Lady Augusta Ada Byron, Countess of Lovelace) เป็นบุตรสาวของ ลอร์ด ไบรอน เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2358 ซึ่งเหตุการณ์ที่น่าเศร้าก็คือ หลังจากเธอเกิดได้ไม่นาน
พ่อแม่ของเธอก็แยกทางกัน แม่เป็นผู้เลี้ยงดูเอดา จึงตัดสินใจที่จะเลี้ยงเธอให้เป็นผู้หญิงยุคใหม่
จึงให้เอดาเรียนหนังสือโดนเน้นทางด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
ต่างไปจากกุลสตรีในตระกูลใหญ่ๆ ของอังกฤษทั่วไป
เมื่อเธอออายุ
17 ปี ได้รู้จัก Mrs.
Somerville แห่งเคมบริดจ์
โดยนับได้ว่าเป็นผู้หญิงเก่งแห่งยุค เอดาจึงเข้ามาคลุกคลีกับเพื่อนกลุ่มนี้
จนวันหนึ่งได้รู้จักกับ ชาลส์ แบบบิจ ในงานสังสรรค์แห่งหนึ่ง ซึ่งในงานวันนั้น
ตอนที่แบบบิจกล่าวว่า “what if a calculating engine could not only foresee but could act
on that foresight” (จะเป็นอย่างไร
ถ้าหากเครื่องคำนวณไม่เพียงสามารถหยั่งรู้ได้
หากแต่สามารถตอบสนองต่อการหยั่งรู้นั้นได้ด้วย)
แต่ไม่มีใครสนใจแนวคิดนี้ของแบบบิจเลย ยกเว้นเอดา
ซึ่งเธอรู้สึกสนใจในงานนี้เป็นอย่างมาก จนอาสาที่จะช่วยพัฒนา โดยสิ่งที่เธอทำคือ การสร้างภาษาสำหรับเครื่องวิเคราะห์ (analytical
engine) ของแบบเบจ
ด้านชีวิตครอบครัวนั้น Ada Lovelace ได้แต่งงานกับท่านเอิร์ลแห่ง เลิฟเลซ และมีบุตรด้วยกันสามคนหลังจากที่รู้จักกันเป็นสิบปี เอดาและแบบบิจ ยังได้มีการเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเครื่องวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ (ซึ่งในปัจจุบัน จดหมายเหล่านี้ยังถูกเก็บไว้อย่างดี เพราะมีข้อมูลน่าสนใจมากมาย ซึ่งเป็นทั้งเรื่องจริง และจินตนาการ)
ผลงานอันโดดเด่นของ
Ada Lovelace
Ada Lovelace บอกว่า เธอเชื่อว่าต่อไปเครื่องมืออันนี้
จะมีความสามารถที่จะแต่งเพลงที่ซับซ้อน สร้างภาพกราฟิก
นำมาใช้เพื่อการคำนวณขั้นสูง และพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ได้
โดยในจดหมายฉบับหนึ่ง
เอดาแนะนำแบบบิจว่า ให้ลองเขียนแผนการทำงานของเครื่องมืออันนี้ ให้สามารถคำนวณ Bernoulli
numbers ขึ้นมา ซึ่งต่อมา
แผนการทำงานที่แบบบิจเขียนขึ้นมาชิ้นนั้น
ก็ถูกยกย่องว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัวแรกของโลก
เอดาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
ซึ่งในแผนการทำงานนั้นเอดาก็ช่วยเขียนบรรยาย
รายละเอียดการทำงานของเครื่องวิเคราะห์ แต่สุขภาพของเธอก็เริ่มมีปัญหา
และสุดท้ายก็เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 37 ปี
หลังจากเธอเสียชีวิตอีกนับร้อยปี
ในปี พ.ศ. 2522 กระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริกา
ได้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์มาตรฐาน ISO ขึ้นมาตัวแรก
พร้อมตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Ada Lovelace ภาษา “ADA”
Dr.Herman Hollerith
เฮอร์แมน Hollerith (1860-1929): Hollerith ทำงานช่วงสั้น ๆ สำหรับ Office การสำรวจสำมะโนประชากรในวิ่งขึ้นไปที่ 1880 การสำรวจสำมะโนประชากรประสบการณ์นี้พร้อมกับการแนะนำจากที่ปรึกษาบิลลิงส์จอห์นชอว์บางอย่างทำให้เขาเชื่อว่าสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องมีวิธีที่ดีกว่าการจัดระเบียบข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรกว่ามือนับ Hollerith ก็สามารถที่จะคิดค้นอุปกรณ์ที่ไม่เพียงแค่นั้น: เครื่องทำเป็นตารางไฟฟ้า
เฮอร์แมน Hollerith เกิดมาเป็นชาวเยอรมันบัฟฟาโล, นิวยอร์กใน 1860 การศึกษาแรกของเขาเป็นหิน แต่เขาในที่สุดก็สามารถที่จะสมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยเมืองนิวยอร์กใน 1875 เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียโรงเรียนเหมืองแร่ในปี 1879 สร้างความประทับใจหนึ่งของอาจารย์ของเขา WP Trowbridge มากว่าผู้ชายคนนั้นถาม Hollerith ที่จะกลายเป็นผู้ช่วยของเขา
Hollerith ตาม Trowbridge ถึง 1880 สำมะโนประชากรที่เขาทำงานเป็นสถิติ มันมาจากประสบการณ์ของเขาในระหว่างการประมวลผลของการสำรวจสำมะโนประชากรที่ว่า Hollerith ตระหนักถึงความจำเป็นสำหรับวิธีที่ดีกว่าที่จะนับผล บิลลิงส์แนะนำอุปกรณ์ที่คล้ายกันที่ Jacquard กี่เครื่องทอผ้าอัตโนมัติที่ถูกควบคุมโดยรหัสพิเศษเจาะบัตรอาจจะใช้เพื่อทำให้การนับ
Hollerith เครื่องทำไฟฟ้านับเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ พวกเขา appreciably ลดเวลาการจัดระเบียบสำหรับการสำรวจสำมะโนประชากรปี 1890 ในขณะที่ให้สถิติมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำสำหรับการประมวลผล ความสำเร็จของเขาในปี 1890 นำไปสู่การทำสัญญากับรัฐบาลต่างประเทศกระตือรือร้นที่จะใช้อุปกรณ์ของเขา เครื่อง Hollerith ถูกนำมาใช้ใน 1891 สำหรับสำมะโนประชากรของประเทศแคนาดานอร์เวย์และออสเตรีย; บริษัท รถไฟใช้พวกเขาในการคำนวณข้อมูลค่าโดยสาร
ในปี 1896 Hollerith ที่เกิดขึ้น บริษัท เครื่องทำเป็นตารางการเปิดร้านค้าในเขตจอร์จวอชิงตัน
Hollerith ความปลอดภัยในการผูกขาดของเขาผ่านเทคโนโลยีรู้ว่าการสร้างสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรจะต้องจ่ายสิ่งที่เขาเรียกร้องมันได้ แต่เมื่อสำนักงานได้กลายเป็นสำนักสำรวจสำมะโนประชากรอย่างถาวรในปี 1902 มันเริ่มที่จะสำรวจตัวเลือกอื่น ๆ
Alan Turing คือบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์
Alan Turing เกิดวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เขาเป็น นักคณิตศาสตร์, นักตรรกศาสตร์,
นักรหัสวิทยา และวีรบุรุษสงคราม ชาวอังกฤษ และ
ได้รับการยอมรับว่าเป็นบิดาของวิทยาการคอมพิวเตอร์
ซึ่งเป็นสร้างรูปแบบที่เป็นทางการทางคณิตศาสตร์ของการระบุอัลกอริทึมและการคำนวณ โดยใช้เครื่องจักรทัวริง ซึ่งตามข้อปัญหาเชิร์ช-ทัวริงได้กล่าวว่าเป็นรูปแบบของเครื่องจักรคำนวณเชิงกลที่ครอบคลุมทุกๆ
รูปแบบที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
เขาได้มีส่วนสำคัญในการแกะรหัสลับของฝ่ายเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วย โดยเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่ม Hut
8 ที่ทำหน้าที่ในการแกะรหัสของเครื่องอีนิกมาที่ใช้ในฝ่ายทหารเรือ
ภายหลังจากสงครามจบลง เขาจึงได้ออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์
ที่สามารถโปรแกรมได้ เครื่องแรกๆ ของโลก ที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งชาติ
และได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นจริงๆ ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ รางวัลทัวริงถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อยกย่องเขาในเรื่องนี้
นับว่าเขเป็นคนสำคัญที่ทำให้เรามีคอมพิวเตอร์ใช้ในทุกวันนี้เลยนะครับ
และ Alan Turing ก็ได้เสียชีวิต
ในวันที่ 8 มิถุนายน
พ.ศ. 2497 (ค.ศ.
1954) เมื่อชันสูตรพลิกศพาพบว่าเขาได้ตายก่อนหน้านี้หนึ่งวันคือ
วันที่ 7 มิถุนายน
พ.ศ. 2497 โดยตายด้วยสาเหตุ
ร่างกายได้รับพิษไซยาไนด์ ก็คือเขาได้ฆ่าตัวตาย โดยอายุ 41 ปีเท่านั้นเอง
konrad zuse
ค.ศ. 1936 เป็นครั้งแรกที่โลกได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ผู้พัฒนาคือ Konrad Zuse และชื่อคอมพิวเตอร์คือ Z1 Computer
Professor Howard H. Aiken
1937 : โฮเวิร์ด เอช ไอเคน (Professor Howard H. Aiken) ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) เป็นผู้ออกแบบและสร้างเครื่องคำนวณตามหลักการของแบบเบจได้สำเร็จ โดยนำเอาแนวคิดของ Jacquard และ Hollerith มาใช้ในการสร้างและได้รับการสนับสนุนจากวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็ม สร้างสำเร็จในปี ค.ศ. 1943 ในชื่อว่า Automatic Sequence Controlled Calculator (ASCC) หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า MARK I Computer นับเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกของโลกที่ทำงานโดยอัตโนมัติทั้งเครื่อง จัดเป็น Digital Computer และเป็นเครื่องที่ทำงานแบบ Electromechanical คือเป็นแบบ กึ่งไฟฟ้ากึ่งจักรกล
การส่งคำสั่งและข้อมูลเข้าไปในเครื่อง ใช้เทปกระดาษเจาะรู เครื่องมีขนาดใหญ่มาก ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ประมาณ 7 แสนชิ้น ใช้สายไฟยาวกว่า 500 ไมล์ ความยาวเครื่อง 55 ฟุต สูง 8 ฟุต กว้าง 3.5 ฟุต
ใช้เวลาในการบวกหรือลบประมาณ 1/3 วินาที การคูณ 5 วินาที การหาร 16 วินาที นับว่าช้ามากถ้าเทียบกับปัจจุบัน เครื่อง MARK I ถูกนำมาใช้ทำงานตลอดวันตลอดคืนนานถึง 15 ปีเต็ม MARK I ยังไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ตามแนวความคิดในปัจจุบันอย่างแท้จริง เป็นเพียงเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจในขณะนั้น
การส่งคำสั่งและข้อมูลเข้าไปในเครื่อง ใช้เทปกระดาษเจาะรู เครื่องมีขนาดใหญ่มาก ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ประมาณ 7 แสนชิ้น ใช้สายไฟยาวกว่า 500 ไมล์ ความยาวเครื่อง 55 ฟุต สูง 8 ฟุต กว้าง 3.5 ฟุต
ใช้เวลาในการบวกหรือลบประมาณ 1/3 วินาที การคูณ 5 วินาที การหาร 16 วินาที นับว่าช้ามากถ้าเทียบกับปัจจุบัน เครื่อง MARK I ถูกนำมาใช้ทำงานตลอดวันตลอดคืนนานถึง 15 ปีเต็ม MARK I ยังไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ตามแนวความคิดในปัจจุบันอย่างแท้จริง เป็นเพียงเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจในขณะนั้น
ค.ศ. 1942 จอห์น อตานาซอฟฟ์ และ คลิฟฟอร์ด เบอร์รี ที่ มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต
ได้ร่วมกันสร้าง คอมพิวเตอร์ อตานาซอฟฟ์-เบอร์รี ซึ่งสามารถประมวลผลเลขฐานสอง
Dr. John W.
Mauchly & John Presper Eckert
ค.ศ. 1946 John
Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้ร่วมกันสร้าง ENIAC ซึ่งใช้หลอดสูญญากาศจำนวน 20,000 หลอด เพื่อสร้างหน่วยประมวลผล
และถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกสำหรับการใช้งานทั่วไป
โดยมีการประมวลผลแบบทศนิยม
โดยหากต้องการตั้งโปรแกรมจะต้องต่อสายเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
Dr. John Von Neumann
พ.ศ. 2492 Dr. John Von Neumann ได้พบวิธีการเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยความจำของเครื่องได้สำเร็จ
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถุฏพัฒนาขึ้นตามแนวคิดนี้ได้แก่ EDVAC (Electronic
Discrete Variable Automatic Computer) และนำมาใช้งานจริงในปี 2494
และในเวลาเดียวกันมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็ได้มีการสร้างคอมพิวเตอร์ในลักษณะคล้ายกับเครื่อง
EDVAC นี้ และให้ชื่อว่า EDSAC (Electronic Delay
Strorage Automatic Calculator) มีลักษณะการทำงานเหมือนกับ EDVAC
คือเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยความจำ แต่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างออกไปคือ
ใช้เทปแม่เหล็กในการบันทึกข้อมูลต่อมา ศาสตราจารย์แอคเคิทและมอชลี
ได้ร่วมมือกันสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์อีก ชื่อว่า UNIVAC I (Universal
Automatic Calculator) ซึ่งผลิตขึ้นมาเพื่อขายหรือเช่า
เป็นเครื่องแรกที่ออกสู่ตลาดซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ขยายตัวออกไปในภาคเอกชน
และเริ่มมีการซื้อขายคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
และวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
Dr.Ted Hoff
ปี ค.ศ. 1971 : ดร. เท็ด ฮอฟฟ์ (Ted
Hoff) แห่งบริษัทอินเทล (Intel Corporation) ได้พัฒนาชิพที่มีขนาดเล็กมาก
จึงได้ชื่อว่าไมโครโพรเซสเซอร์
ชื่อรุ่นคือ Intel 4004 เป็นหน่วยประมวลผลขนาดเล็กที่สามารถโปรแกรมได้
คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิพขนาดเล็กนี้เจึงถูกรียกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ด้วย
Steve Jobs
สตีเวน พอล จอบส์ (อังกฤษ: Steven Paul Jobs) หรือ สตีฟ จอบส์, 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 - 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011) เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน อดีตประธานกรรมการบริหารของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ และยังเคยเป็นประธานกรรมการบริหารพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ใน ค.ศ. 2006 หลังดิสนีย์ซื้อกิจการพิกซาร์
เขาร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์กับสตีฟ วอซเนียก ใน ค.ศ. 1976 เป็นผู้มีส่วนช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา ด้วยเครื่อง Apple II ต่อมา เขาเป็นผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์และเม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์ และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอช หลังพ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจกับคณะกรรมการบริหารใน ค.ศ. 1984 จอบส์ลาออกจากแอปเปิลและก่อตั้งเน็กซ์ บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและตลาดธุรกิจ การซื้อกิจการเน็กซ์ของแอปเปิลใน ค.ศ. 1996 ทำให้จอบส์กลับเข้าทำงานในบริษัทแอปเปิลที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นนั้น และเขารับหน้าที่ CEO ตั้งแต่ ค.ศ. 1997 ถึง 2011 จอบส์ยังเป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ทั้งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ 50.1% กระทั่งบริษัทวอลต์ดิสนีย์ซื้อกิจการไปใน ค.ศ. 2006 จอบส์เป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุดของดิสนีย์ที่ 7% และเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของดิสนีย์
หลังจาก สตีฟ จอบส์ ประกาศแก่พนักงานแอปเปิลว่าตรวจพบมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2004 จอบส์ ก็มีปัญหาทางสุขภาพเรื่อยมา จนตัดสินใจลาออกจากการเป็นประธานกรรมการบริหารของแอปเปิล เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2011 และ เสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011 หลังจากที่แอปเปิล ประกาศเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว
Bill Gates
วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม เกิด 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 หรือที่มักเป็นที่รู้จักในชื่อ บิล เกตส์ เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลคนอื่น ๆ ได้ร่วมกันเขียนต้นแบบของภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800(เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกๆ) เขาได้ร่วมกับพอล แอลเลน ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชันขึ้น ซึ่งในขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร และหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้ บิล เกตส์ เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกัน
วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน (KBE) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2
ประวัติ
บิล เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 บิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของUnited Way ชื่อเต็มของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์
เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม บิล เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ทั้งคู่ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมา บิล เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1
ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขาได้ร่วมกับ พอล อัลเลน เขียนต้นแบบ ภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นโปรแกรมอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จทางการค้าในกลางคริสตทศวรรษที่ 70) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาเบสิก ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยดาร์ทเมาท์คอลเลจ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน
เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟรนช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2002)
ในปี ค.ศ. 1994 บิล เกตส์ได้ม้วนกระดาษไลเชสเตอร์ ซึ่งรวบรวมงานเขียนของเลโอนาร์โด ดา วินชีมาไว้ในครอบครอง และในปี ค.ศ. 2003 ได้นำม้วนกระดาษนี้ออกแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองซีแอทเทิล
ในปี ค.ศ. 1997 เกตส์ได้ตกเป็นเหยื่อของแผนการขู่กรรโชกทรัพย์อันแปลกประหลาด ของนายอดัม ควินน์ เพลตเชอร์ ชาวเมืองชิคาโก ซึ่งเกตส์ก็ได้ขึ้นให้การต่อศาลในการพิจารณาคดีดังกล่าว เพลตเชอร์ถูกตัดสินลงโทษเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1998 และถูกจำคุกเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 เกตส์ถูกนายโนเอล โกดังจู่โจมด้วยการปาขนมพายหน้าครีมใส่ ระหว่างการไปปรากฏตัวที่ประเทศเบลเยียม
ตามรายงานของนิตยสารฟอบส์ เกตส์ได้บริจาคเงินให้การรณรงค์หาเสียงของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี ค.ศ. 2004 และตามรายงานของศูนย์เฝ้าระวังทางการเมือง เกตส์ถูกระบุว่าบริจาคเงินอย่างน้อย 33,335 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับการรณรงค์หาเสียงมากกว่า 50 ครั้ง ตลอดฤดูกาลเลือกตั้งในปีค.ศ. 2004
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2004 บิล เกตส์ ได้ร่วมกับคณะกรรมการบริหารของ Berkshire Hathaway เพื่อสานความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างเขากับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ Berkshire Hathaway เป็นกลุ่มบริษัทที่รวมเอา บริษัทประกันภัยไกโค Benjamin Moore (บริษัทสี) และ Fruit of the Loom (บริษัทสิ่งทอ) เข้าไว้ด้วยกัน เกตส์ยังได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารของ Icos ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของ Bothell
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2005 สำนักวิเทศสัมพันธ์ของสหราชอาณาจักรได้ประกาศว่า บิล เกตส์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอบแทนที่ต่อสิ่งเขาได้อุทิศให้กับบริษัทในสหราชอาณาจักร และความพยายามของเขาในการลดปัญหาความยากจนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นบุคคลสัญชาติในกลุ่มประเทศเครือจักรภพ เขาจึงไม่สามารถใช้คำนำหน้าว่า เซอร์ ได้ แต่เราต้องใส่อักษร "KBE" (Knight Commander of The British Empire) ตามหลังชื่อของเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น